เมื่อมีการพูดถึงพระแก้วมรกต ไม่มีคนไทยคนไหนที่ไม่รู้จักเพราะเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง คู่ประเทศไทยมาหลายร้อยปีแล้ว และยังนับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของไทยอีกด้วย เพราะแม้แต่ชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย ยังรู้จักพระแก้วมรกต และจะต้องเดินทางมากราบไหว้ ชื่นชมความงดงามของพระพุทธรูปองค์นี้กันแทบทุกคน ซึ่งบทความนี้เราจะมาพูดถึงประวัติของพระแก้วมรกตกันอย่างย่อๆให้ทราบกัน
พระแก้วมรกต เป็นหินบริสุทธิ์ที่มีค่าสูงสุดในสังคมไทย มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า “มรกตมหาพระเจ้าวรวงศ์เธอพระบาทสมเด็จพระเจ้าพระองค์เจ้า อยู่หัว” หรือ “มรกตมหาพระราชินี” เป็นที่สร้างสรรค์จากแก้วชั้นดีอันพิเศษ โดยมีความงดงามและมีความศรัทธาสูงสุดในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
พระแก้วมรกต เป็นหินมรกตที่มีความสำคัญมากในศาสนาพุทธ มีลักษณะเป็นทรงกระบอกโดยมีความสูงประมาณ 66 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 5.4 ตัน เมื่อมองด้วยตาบรรดาลูกทั้งสองข้างจะมีรูปแบบทรงกรวย และส่วนลำตัวจะมีลักษณะทรงกระบอกเรียบ
โดยภายในพระแก้วมรกตจะมีรอยแข็งแรงขนาดใหญ่ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่ช่วยเป็นหนึ่งในการพิสูจน์ความเป็นจริงของพระแก้วมรกตในสมัยโบราณ ประกอบด้วยแก้วที่อยู่ภายในหินมรกตที่สำคัญมากๆ โดยส่วนใหญ่จะมีการปั้นผสมด้วยทองคำและเรือน ทำให้มีลักษณะที่มีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์
ประวัติความเป็นมาของพระแก้วมรกต
เริ่มต้นขึ้นเมื่อองค์พระธาตุสีเขียวของพระโกศิณีให้แก่พระราชาธิบดีไทยในสมัยราชวงศ์สุโขทัย เมื่อปี พ.ศ. 1805 หลังจากนั้นได้มีการนำมาเปลี่ยนเป็นมรกตโดยสมเด็จพระมหาชนกพระราชวรวงศ์ เจ้าฟ้าท่านสิริวัฒนา กรมพระราชวังสมเด็จพระเจ้าน้องเนื่องจากทรัพย์สินของพระองค์ ณ ช่วงเวลานั้น จึงได้เกิดพระแก้วมรกตขึ้นมา พระแก้วมรกตนี้จึงเป็นที่น่าเคารพและสำคัญอย่างยิ่งในสังคมไทยและเป็นแหล่งนำมาศักดิ์สิทธิ์ให้แก่บ้านเมืองไทย.
ต่อมาในอดีตสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มีการสละพระแก้วมรกตไปยังสุโขทัย ซึ่งในยุคราชวงศ์อยุธยา จะมีการย้ายและเปลี่ยนแปลงสถานที่เก็บรักษาพระแก้วมรกตอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเมื่อปัจจุบันที่พระบรมมหาราชวัง ซึ่งเป็นสถานที่ถาวรที่สุดแล้ว ที่มีการรักษาพระแก้วมรกตอยู่.
การรักษาพระแก้วมรกตมีความสำคัญอย่างมากและมีการดูแลอย่างใส่ใจ โดยจะมีพระราชการพิเศษที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลและรักษา มีการดูแลรักษาตลอดเวลา เพื่อให้พระแก้วมรกตได้รับการคุ้มครองอย่างดีที่สุดอันเป็นอำนาจพระราชทานแก่ผู้ดูแล และเพื่อให้สามารถเปิดเผยและให้ความสำคัญอย่างเหมาะสมแก่ประชาชนได้ในทุกๆ สมัยและช่วงเวลา ซึ่งเป็นการอนุรักษ์และรักษาสืบทอดวัฒนธรรมที่มีค่าของชาติไทยต่อไป.
สนับสนุนโดย alpha888